นิ่วทางเดินปัสสาวะ โรคใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม

“ปวดฉี่บ่อย ปวดท้องน้อย หรือฉี่เป็นเลือด” อาจไม่ใช่อาการธรรมดาอย่างที่คิด เพราะอาจเป็นสัญญาณของ “นิ่วทางเดินปัสสาวะ” โรคที่พบได้บ่อยในคนไทย และถ้าไม่รักษาอย่างถูกวิธี อาจลุกลามถึงไตหรือระบบขับถ่ายปัสสาวะได้เลย

 

นิ่วทางเดินปัสสาวะ คืออะไร?

นิ่วทางเดินปัสสาวะ (Urinary Tract Stone) คือ ก้อนนิ่วที่เกิดจากการตกตะกอนของแร่ธาตุในปัสสาวะ เช่น แคลเซียม ออกซาเลต หรือกรดยูริก ซึ่งเมื่อสะสมในทางเดินปัสสาวะ จะกลายเป็นก้อนนิ่วที่ทำให้ปัสสาวะติดขัดหรือระคายเคือง

 

สาเหตุของการเกิดนิ่ว

  •     ดื่มน้ำน้อย
  •     กลั้นปัสสาวะเป็นประจำ
  •     การรับประทานอาหารที่มีสารพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์
  •     มีความผิดปกติของทางเดินปัสสาวะหรือระบบขับถ่าย
  •     พันธุกรรม

 

ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ คืออะไร?

  • ชายอายุ 50 ปีขึ้นไป มีโอกาสเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะสูงขึ้น
  • โรคหลอดเหลือดสมอง อาการบาดเจ็บที่ไขสันหลัง โรคพาร์กินสัน โรคเบาหวาน หมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท หรืออาการอื่น ๆ ที่ทำลายเส้นประสาท
  • ต่อมลูกหมากโตขวางทางเดินปัสสาวะ

 

นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ มีอาการอย่างไร?

  • ปัสสาวะขุ่น สีเข้มดำ มีเลือดในปัสสาวะ
  • ปัสสาวะบ่อย
  • ปวดแสบเวลาปัสสาวะ พร้อมกับปวดท้องน้อย อวัยวะเพศ หรือปวดอัณฑะที่อาจเกิดขึ้นซ้ำ ๆ
  • ปัสสาวะออกช้า ปัสสาวะขาดหรือสะดุดเป็นช่วง ๆ
  • ติดเชื้อที่ทางเดินปัสสาวะ

 

การตรวจวินิจฉัย

แพทย์จะทำการตรวจด้วย:

  •     เอกซเรย์ หรืออัลตราซาวด์ เพื่อดูตำแหน่งและขนาดของนิ่ว
  •     การตรวจปัสสาวะ เพื่อหาผลึกหรือการติดเชื้อ
  •    CT Scan กรณีต้องการความแม่นยำสูง

 

วิธีการรักษา

  •     ดื่มน้ำมากๆ หากนิ่วมีขนาดเล็ก แพทย์อาจแนะนำให้ดื่มน้ำมากๆ เพื่อขับนิ่วออกทางปัสสาวะ
  •     ใช้ยา ช่วยละลายนิ่วบางชนิดหรือบรรเทาอาการปวด
  •     สลายนิ่วด้วยคลื่นเสียง (ESWL) สำหรับนิ่วขนาดกลาง
  •     ส่องกล้องสลายนิ่วหรือผ่าตัด กรณีนิ่วขนาดใหญ่หรือติดในจุดที่เสี่ยง

 

วิธีป้องกันไม่ให้เป็นนิ่วทางเดินปัสสาวะ?

  •     ดื่มน้ำให้เพียงพอ วันละ 1.5 – 2 ลิตร
  •     หลีกเลี่ยงอาหารเค็มจัดหรือที่มีกรดยูริกสูง
  •     ปัสสาวะเป็นประจำ อย่ากลั้นนาน
  •     ตรวจสุขภาพประจำปี

 

สรุป

นิ่วทางเดินปัสสาวะ อาจดูเหมือนโรคเล็กๆ แต่ถ้าไม่ดูแล อาจลุกลามจนส่งผลต่อการทำงานของไตได้ การหมั่นสังเกตอาการตัวเอง และเข้ารับการตรวจเมื่อมีความผิดปกติ คือกุญแจสำคัญในการดูแลสุขภาพทางเดินปัสสาวะให้แข็งแรงอยู่เสมอ

 

รู้จักโรคข้อเข่าเสื่อมพร้อมวิธีรักษาข้อเข่าเสื่อม

โรคข้อเข่าเสื่อมคืออะไร

หลายคนคิดว่าโรคข้อเข่าเสื่อมมักจะเกิดเพียงแค่กับผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ที่จริงแล้วโรคข้อเข่าเสื่อมสามารถเกิดขึ้นได้กับหนุ่มสาวที่ใช้งานข้อเข่าอย่างหนักเป็นประจำ อาการของโรคข้อเข่าเสื่อม คือภาวะที่กระดูกอ่อนในข้อเข่าเสื่อมสภาพทำให้เสียดสีเมื่อขยับ เช่น การเดิน การวิ่ง ซึ่งอาการป่วยจะมี 2 ลักษณะด้วยกัน

  • ปวดบริเวณรอบเข่า และหน้าขา มักมีสาเหตุมาจากหลังและปวดลงมา สามารถรักษาให้หายได้ โดยการรักษาหลังก่อนแล้วปัญหาเรื่องปวดข้อเข่าก็สามารถหายไปได้เอง
  • ปวดที่บริเวณข้อเข่า มักจะเป็นที่ด้านในข้อเข่าก่อน ต่อไปจะมีอาการบวมตามมา เริ่มจากข้อเข่าที่หลวมก่อน เมื่อเดินจะมีเสียงดังเพราะกระดูกและลูกสะบ้าสีกัน ต่อไปจะเดินกะเผลก จนทำให้ใช้งานขาอีกข้างหนักกว่าจนสุดท้ายก็เป็นทั้งสองข้าง

ข้อเข่าเสื่อมมักพบในใครบ้าง

  • ผู้สูงอายุ
  • หนุ่มสาวที่ยืนนาน ๆ หรือใส่รองเท้าส้นสูงบ่อย ๆ
  • ผู้ที่ต้องยกสิ่งของที่มีน้ำหนักมาก
  • ผู้ที่ใช้งานข้อเข่าอยู่เป็นประจำ เช่น การเดิน การวิ่ง การขึ้น-ลงบันได
  • ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก
  • ผู้ที่เคยได้รับอุบัติเหตุ บริเวณข้อเข่าและบริเวณหลัง
  • โรคข้อต่าง ๆ รูมาตอยด์ ข้ออักเสบ โรคเก๊าต์

วิธีรักษาข้อเข่าเสื่อมที่คุณควรรู้

  1. ปรับเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตในประจำวัน

  • หลีกเลี่ยงการนั่งพับเพียบ หรือ นั่งยอง ๆ
  • ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • ใช้อุปกรณ์ช่วยพยุงข้อเข่า
  1. ออกกำลังกายที่ช่วยในการฟื้นฟูเข่า

  • ว่ายน้ำ
  • ปั่นจักรยาน
  • ใช้การบำบัดเฉพาะทาง เสริมกล้ามเนื้อของข้อเข่า
  1. การใช้ยาและอาหารเสริม

  • ใช้ยาแก้ปวดและยาแก้อักเสบ
  • คอลลาเจน
  • สารหล่อลื่นข้อ
  1. การใช้สารฉีดบำรุงข้อ

  • กรดไฮยาลูรอนิก ช่วยลดแรงเสียดในข้อ
  • การรักษาข้อเข่าเสื่อม ด้วยพลาสม่าเกล็ดเลือดเข้มข้น
  1. การรักษาด้วยการผ่าตัด

จะใช้ในกรณีที่วิธีรักษาข้อเข่าเสื่อมแบบอื่น ๆ ไม่ได้ผลแล้ว และต้องมีอาการที่ร้ายแรงเท่านั้น

วิธีสังเกตโรคข้อเข่าเสื่อม

  • ปวดเข่าบ่อย เป็น ๆ หาย ๆ โดยเฉพาะเวลายืน เดิน และขึ้นบันได
  • ข้อเข่าฝืด และมักปวดตึง ๆ ในตอนเช่า
  • มีเสียงดังที่เข่า เวลายืน เดิน
  • รู้สึกเข่าบวม เจ็บรอบ ๆ ข้อเข่า
  • เคลื่อนไหวลำบาก หรือรู้สึกเหมือนเข่าจะหลุด
  • ข้อเข่าผิดรูป

สรุป

โรคข้อเข่าเสื่อมเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ แต่วัยหนุ่มสาวก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นการดูแลรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมก่อนที่จะลุกลามหนัก ดังนั้นควรดูแลรักษาตัวเองให้ป้องกันไม่ให้เกิดอาการเหล่านี้จะเป็นการดีที่สุด

หลอดเลือดหัวใจตีบภัยเงียบที่คุณอาจไม่รู้ตัว

อาการหลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease – CAD) เป็นภาวะที่หลอดเลือดที่หล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจเกิดการตีบหรืออุดตัน ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจได้ไม่เพียงพอ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอก หัวใจวาย หรือหัวใจล้มเหลวได้ในระยะยาว

อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

อาการอาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน บางคนอาจไม่มีอาการเลยจนกระทั่งเกิดภาวะหัวใจวาย แต่โดยทั่วไปมักพบอาการดังนี้

  • เจ็บหน้าอก หรือแน่นหน้าอก (อาจรู้สึกเหมือนมีอะไรมาทับหน้าอก)
  • อาการเจ็บมักร้าวไปที่คอ ขากรรไกร ไหล่ หรือแขน โดยเฉพาะด้านซ้าย
  • เหนื่อยง่าย หายใจไม่อิ่ม
  • ใจสั่น เหงื่อออกมากผิดปกติ
  • เวียนศีรษะ หรือเป็นลม

สาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

สาเหตุหลักมาจาก “ภาวะหลอดเลือดแข็ง” (Atherosclerosis) ซึ่งเกิดจากไขมัน คอเลสเตอรอล และสารอื่นๆ สะสมที่ผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแคบลง ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค ได้แก่

  • สูบบุหรี่
  • ความดันโลหิตสูง
  • ไขมันในเลือดสูง
  • เบาหวาน
  • โรคอ้วน
  • ขาดการออกกำลังกาย
  • ความเครียดเรื้อรัง
  • ประวัติครอบครัวที่เคยเป็นโรคหัวใจ

วิธีรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

การรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและอาการของผู้ป่วย ได้แก่

  1. การใช้ยา

ยาลดไขมัน (statins)

ยาต้านเกล็ดเลือด เช่น แอสไพริน

ยาขยายหลอดเลือดหัวใจ เช่น ไนโตรกลีเซอรีน

ยาลดความดันโลหิต

  1. การทำบอลลูน (PCI – Percutaneous Coronary Intervention)

ใช้สายสวนขยายหลอดเลือด และใส่ขดลวด (Stent)

  1. การผ่าตัดบายพาส (CABG – Coronary Artery Bypass Grafting)

ผ่าตัดเปลี่ยนเส้นทางไหลเวียนของเลือด โดยใช้หลอดเลือดจากส่วนอื่นของร่างกาย

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นหนึ่งในโรคร้ายที่คร่าชีวิตของผู้คนทั่วโลกรองจากโรคมะเร็ง แต่อย่างไรก็ตามเราสามารถดูแลตัวเองเพื่อป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพอย่างเหมาะสม ลดหวาน มัน เค็มและอาหารที่มีไขมันสูง ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ